หากคุณเคยประสบอาการแพ้อาหารหรือรู้สึกว่าตนเองอาจมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้อาหารแฝง (Food Allergy) ควรระวังอาหารที่ทานอย่างมาก เพราะโรคภูมิแพ้อาหารแฝงเป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน และสามารถเกิดขึ้นกับทุกเพศทุกวัย
โรคภูมิแพ้อาหารแฝงเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารเจือปนอาหาร ซึ่งเมื่อร่างกายตอบสนองกับสารเจือปนอาหาร จะทำให้ร่างกายปล่อยสารต่างๆออกมา เช่น ฮิสตามิน อินทรีย์แอมิน และอื่นๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดอาการผิดปกติบนร่างกายได้ เช่น ผื่นแพ้ หรืออาจทำให้เกิดอาการหายใจลำบาก และอาจเป็นอันตรายถ้าไม่ได้รับการรักษาทันที
สาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
ปัจจัยทางพันธุกรรม
การมีภูมิคุ้มกันที่มีการทำงานผิดปกติหรือมีการผลิตสารเคมีที่ผิดปกติในร่างกายอาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง หากคุณมีคนในครอบครัวที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อาหารแฝง โอกาสที่คุณจะเป็นโรคนี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติจะเป็นโรคภูมิแพ้อาหารแฝง การวิเคราะห์พันธุกรรมเป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่สามารถทำนายได้ว่าหากคุณมีคนในครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้อาหารแฝง โอกาสที่คุณจะเป็นโรคนี้มากขึ้น แต่ไม่ใช่การทำนายที่แม่นยำ 100% ดังนั้น คุณควรพูดคุยกับแพทย์หากคุณมีอาการของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม
การสัมผัสกับสารเคมีหรือสิ่งที่ทำให้เกิดการตอบสนองภูมิคุ้มกันในร่างกายอาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง ตัวอย่างเช่น การสัมผัสกับสารเคมีในอาหารหรือยา การสัมผัสกับเชื้อราหรือไข่ของสัตว์ การสัมผัสกับสารเคมีในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอื่นๆ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น การอบแห้งอาหารเกินไป การเก็บรักษาอาหารไม่ถูกวิธี การฉีดยาฆ่าแมลงหรือสารเคมีในพืช และอื่นๆ อีกมากมาย อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง คุณควรป้องกันการสัมผัสกับสิ่งที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง และควรปฏ
อาการของโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
อาการทางกาย
เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่เป็นแพ้ อาการที่เกิดขึ้นอาจมีดังนี้
- ผื่นแพ้ที่ผิวหนัง
- อาการคัน
- อาการบวมบริเวณภายนอกที่เป็นแพ้
- อาการปวดท้อง
- อาการท้องเสีย
- อาการคลื่นไส้และอาเจียน
- อาการหน้ามืดและเวียนศีรษะ
- อาการหอบเหนื่อยหอบหายใจ
อาการทางจิตใจ
นอกจากอาการทางกายแล้ว โรคภูมิแพ้อาหารแฝงยังสามารถทำให้เกิดอาการทางจิตใจได้ด้วย เช่น
- อาการวิตกกังวล
- อาการซึมเศร้า
- อาการเครียดและระคายเคือง
- อาการไม่สบายใจและเครียดกว่าปกติ
การรับประทานอาหารที่เป็นแพ้อาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจและเครียดได้ ดังนั้น ควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแพ้เพื่อป้องกันอาการทางกายและจิตใจที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นซ้ำๆ ในภายหลัง
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
การตรวจทางคลินิก
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝงจะต้องเริ่มต้นด้วยการสังเกตอาการที่เกิดขึ้นหลังการบริโภคอาหารที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งอาการที่พบบ่อยได้แก่ ผื่นแพ้ง่าย, ปวดท้อง, คลื่นไส้, อาเจียน, ท้องผูก หรือท้องเสีย และอาจมีอาการรุนแรงเป็นชีวิตอันตรายได้ เช่น อาการอัมพาต, อาการหายใจลำบาก และอาจเกิดการช็อกได้ ดังนั้น การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝงจึงต้องเริ่มจากการสังเกตอาการของผู้ป่วยอย่างละเอียด
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
หลังจากที่คุณได้สังเกตอาการของผู้ป่วยแล้ว การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝงจะต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยการตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบการเกิดการตอบสนองของร่างกายต่อสารในอาหารที่เป็นสาเหตุของโรค หรือการตรวจผิวหนังโดยใช้การทำแพทช์ทดสอบ (Patch test) เพื่อตรวจสอบการเกิดการตอบสนองของผิวหนังต่อสารในอาหารที่เป็นสาเหตุของโรค นอกจากนี้ การตรวจทางห้องปฏิบัติการยังสามารถใช้วิธีการตรวจอื่น ๆ เช่น การตรวจสารเคมีในเลือด หรือการตรวจสารแพ้ในอาหารโดยใช้การทำแพทช์ทดสอบ (Skin prick test) ซึ่งจะช่วยให้การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝงมีความแม่นยำมากขึ้น
การรักษาโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
การรักษาทางการแพทย์
หากคุณมีอาการแพ้อาหาร แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝง โดยใช้วิธีการตรวจเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีการผลิต IgE antibody ต่อสารอาหารที่เป็นแรงจูงใจในร่างกายของคุณหรือไม่ หากผลการตรวจเป็นบวก แพทย์จะสั่งให้คุณหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และจะสั่งให้ใช้ยาและการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการแพ้
การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
นอกจากการรักษาโรคภูมิแพ้อาหารแฝงด้วยการใช้ยาและการรักษาทางการแพทย์ คุณยังสามารถใช้วิธีการรักษาทางธรรมชาติได้เช่นกัน ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกินอาหาร: คุณสามารถลองเปลี่ยนแปลงอาหารที่คุณกิน โดยการลดปริมาณอาหารที่เป็นแรงจูงใจในการเกิดอาการแพ้ หรือเปลี่ยนแปลงวิธีการปรุงอาหาร เช่น การทำอาหารด้วยการต้ม ทอด หรือย่าง แทนการทอดเผา หรืออื่นๆ ที่อาจจะทำให้อาหารไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายของคุณ
- การใช้สมุนไพร: มีสมุนไพรหลายชนิดที่เคยใช้รักษาโรคภูมิแพ้อาหารแฝง เช่น ขิง ตะไคร้ หรือยี่หร่า ซึ่งมีสารสกัดที่ช่วยลดอาการแพ้อาหารได้
- การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร: มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายชนิดที่ช่วยลดอาการแพ้อาหาร เช่น วิตามิน C และ E ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณ
คำเตือน: การใช้วิธีการรักษาทางธรรมชาติไม่สามารถ
การป้องกันโรคภูมิแพ้อาหารแฝง
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
หากคุณมีโรคภูมิแพ้อาหารแฝง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการแพ้ในอนาคต ดังนั้น คุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านการกินอาหารที่เหมาะสม เช่น
- อย่ากินอาหารที่เป็นแหล่งของสารอาหารที่คุณแพ้
- อ่านป้ายชื่ออาหารและส่วนผสมของอาหารก่อนที่จะซื้อหรือกิน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อภูมิแพ้ เช่น กุ้ง ปู ปลาหมึก ไข่ นม ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วดำ และเม็ดอัลมอนด์
- รับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น ผักเขียวหวาน แตงกวา และผลไม้สด
การออกกำลังกาย
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญในการป้องกันโรคภูมิแพ้อาหารแฝง การออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ในอนาคต ดังนั้น คุณควรออกกำลังกายเป็นประจำ โดยเลือกทำกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น
- การเดินเร็วหรือวิ่งเล่น
- การว่ายน้ำ
- การเล่นกีฬาที่ชอบ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล และเทนนิส
อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการแพ้อาหารหรือโรคภูมิแพ้อาหารแฝง คุณควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารก่อนออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการแพ้อาหารและความเสี่ยงในการเกิดโรคภูมิแพ้ในอนาค
สรุป
การเกิดโรคภูมิแพ้อาหารแฝงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารเข้าไปแล้วเกิดอาการแพ้ โดยอาการแพ้อาจเกิดขึ้นทันทีหรืออาจเกิดขึ้นภายหลังจากการรับประทานอาหารเป็นเวลานาน อาการแพ้อาหารสามารถเกิดขึ้นกับอาหารใดก็ได้ แต่อาหารที่เป็นสาเหตุที่พบบ่อยคือ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วเขียว นม ไข่ ปลา กุ้ง ปู ปลาหมึก ถั่วเมล็ดและเมล็ดพืชอื่นๆ และผลไม้เบาหวาน เช่น มะม่วง กล้วย และลูกพีช
การวินิจฉัยโรคภูมิแพ้อาหารแฝงจะใช้วิธีการตรวจผู้ป่วยว่ามีการผลิต IgE ต่ออาหารที่เป็นสาเหตุ โดยการตรวจผลของการทดสอบผิวหนัง การตรวจเลือด และการตรวจผลของการทดสอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแพ้อาหาร
การรักษาโรคภูมิแพ้อาหารแฝงจะใช้วิธีการหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสาเหตุ และการใช้ยาต้านแพ้ เช่น แอนติฮิสตามีน และอิปิเนฟรีน
ถ้าคุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้อาหารแฝง ควรปฏิบัติตามขั้นตอนการป้องกันเพื่อลดความเสี่ยง โดยการอยู่ห่างจากอาหารที่เป็นสาเหตุ และการอ่านป้ายบอกว่าอาหารมีส่วนผสมอะไรบ้างก่อนการรับประทานอาหาร